บทที่ 2 องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ความหมายของฮาร์ดแวร์
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะทำหน้าที่แตกต่างกันไปตามคุณลักษณะของ องค์ประกอบพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ ดังนี้
ที่มา : http://www.rayongwit.ac.th/computer50/web-m2-wed/g15m2wed/hardw.htm
ความหมายของซอฟต์แวร์ การใช้งานระบบสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงาน เช่น การซื้อของโดยใช้บัตรเครดิต ผู้ขายจะตรวจสอบบัตรเครดิตโดยใช้เครื่องอ่านบัตร แล้วส่งข้อมูลของบัตรเครดิตไปยังศูนย์ข้อมูลของบริษัทผู้ออกบัตร การตรวจสอบจะกระทำกับฐานข้อมูลกลาง โดยมีกลไกหรือเงื่อนไขของการตรวจสอบ จากนั้นจึงให้คำตอบว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธบัตรเครดิตใบนั้น การดำเนินการเหล่านี้เป็นไปโดยอัตโนมัติตามคำสั่งซอฟต์แวร์
ทำนองเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บเงินจะใช้เครื่องกราดตรวจอ่านรหัสแท่งบนสินค้าทำให้บนจอภาพปรากฏชื่อสินค้า รหัสสินค้า และราคา ในการดำเนินการนี้ต้องใช้ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานได้
ซอฟต์แวร์ คือ ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์เป็นลำดับขั้นตอนของการทำงาน ชุดคำสั่งเหล่านี้ได้จัดเตรียมไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์อ่านชุดคำสั่งแล้วทำงานตาม ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์จัดทำขึ้น และคอมพิวเตอร์จะทำงานตามคุณลักษณะของซอฟต์แวร์ที่วางไว้แล้วเท่านั้น
ชนิดของซอฟต์แวร์แบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ คือ ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) และซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software)
ที่มา : http://it.benchama.ac.th/ebook/files/chap5-1.htm
peopleware หมายถึง
peopleware หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน สั่งงานเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้1. ผู้จัดการระบบ (System Manager)2. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)4. ผู้ใช้ (User)พีเพิลแวร์ (Peopleware) คือ บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของเคื่องคอมพิวเตอร์ พีเพิลแวร์หรือบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์นับว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด เพราะบุคคลากรจะเป็นผู้จัดการหรือผู้ดำเนินงานให้ระบบคอมพิวเตอร์ดำเนินต่อไปได้เราสามารถแบ่งบุคลากรเป็นกลุ่ม ๆ ตามหน้าที่การทำงานได้ดังต่อไปนี้1. นักวิเคราะห์ระบบงาน (System Analysist :SA) คือ บุคลากรที่ทำหน้าที่ในการติดต่อประสานงานกับผู้ใช้โปรแกรม ผู้จัดองค์กรและโปรแกรมเมอร์ ทำการศึกษาวิเคราะห์ระบบงานเดิม ออกแบบระบบงานใหม่ ติดตั้งระบบงานใหม่ รวมทั้งประเมินผลระบบงาน นักวิเคราะห์ระบบต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าโปรแกรมเมอร์ จบการศึกษาสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาบริหารธุรกิจ สาขาคณิตศาสตร์ ศึกษาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีใหม่อย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันยังขาดแคลนนักวิเคราะห์ระบบงานที่มีความรู้ความชำนาญ เพราะนักวิเคราะห์ระบบส่วนใหญ่ต้องอาศัยประสบการณ์สูง เช่น ฝ่ายการเงินต้องการนำคอมพิวเตอร์มาคิดคำนวณเรื่องรายรับ รายจ่ายของบริษัท นักวิเคราะห์ระบบก็ต้องศึกษาในเรื่องของการเงิน ขั้นตอนการทำงานของฝ่ายการเงิน กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เมื่อศึกษารายละเอียดข้อมูลได้ตามต้องการแล้วนักวิเคราะห์ระบบจึงดำเนินการออกแบบระบบใหม่ที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผลด้านการเงินต่อไป2. โปรแกรมเมอร์ (Programmer) คือ บุคลากรที่ทำหน้าที่นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบได้ออกแบบไว้มาสร้างเป็นโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่ง โดยทำการเลือกภาษาคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับระบบงานนั้น ๆ ต้องมีความรู้ในเรื่องการใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ แนวคิดแบบตรรกะ (Logic) ของโปรแกรม มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสารที่ได้จากการออกแบบระบบ เทคนิคการออกแบบระบบงาน ทำงานร่วมกันเป็นทีม 3. วิศวกรระบบ (System Engineer) คือ บุคลากรที่ทำหน้าที่ออกแบบ สร้าง ซ่อม บำรุง และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ โครงสร้างของฮาร์ดแวร์ หลักการทำงานของฮาร์ดแวร์ สามารถออกแบบและติดตั้งฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ได้ 4. ผู้บริหารระบบงาน (Administrator) คือ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารระบบงานหรือองค์กรด้านคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ดังนี้ - ผู้บริหารศูนย์คอมพิวเตอร์ (Computer Center Administrator) คือบุคลากรท่ำทหน้าที่บริหารศูนย์หรือองค์กรทางด้านคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ มีหน้าที่กำหนดนโยบายและวางแผนการบริหารเพื่อให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย - ผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator : DBA) คือ บุคลากรที่ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและวางแผนการบริหารการจัดการฐานข้อมูลและการดูแลรักษาฐานข้อมูลขององค์กร5. พนักงานปฏิบัติการ (Operator) คือ บุคลากรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือภารกิจประจำวันที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์6. ผู้ใช้ (User) คือ กลุ่มบุคลากรที่เป็นผู้ใช้ (User) และเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบงานของคอมพิวเตอร์ในฐานะผู้ใช้ระบบงานหรือเป็นผู้ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของตนเองหรือตามหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในภาระกิจประจำวันของตนเอง
Data :ข้อมูล
ข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือ สิ่งที่ยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง สำหรับใช้ในเป็นหลักอนุมานหาความจริง
Raw data : สิ่งที่ได้จาการสังเกตปรากฏการณ์ การกระทำ หรือ ลักษณะต่างๆของวัตถุ สิ่งของ สัตว์ หรือ พืช แล้วบันทึกไว้เป็นตัวเลข สัญลักษณ์ ภาพ หรือ เสียง
Data
Processes-IT
Information
10 Processes : Data to Information
1.การรวบรวมข้อมูล
2.การตรวจสอบข้อมูล
3.การจัดหมวดหมู่
4.การเรียงลำดับข้อมูล
5.การสรุป
6.การคำนวณ
7.การจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระบบ
8.การค้นคืนข้อมูล
9.การจัดทำสำเนา
10.การแพร่กระจายและสื่อสารข้อมูล
Information: สารสนเทศ ข้อมูล ข่าวสาร ข้อเท็จจริงที่ผ่านการวิเคราะห์ ประมวลผล สามารถนำไปใช้งานได้
Information : ข้อสนเทศ, สารนิเทศ สารสนเทศ
ข้อมูลที่ได้รับการประมวลผลให้อยู่ในรูปแบบทีมีความหมายต่อผู้รับ และมีคุณค่าสำหรับการตัดสินใจในปัจจุบัน หรือ อนาคต
(ครรชิต มาลัยวงศ์, 2535 : 12)
Quality Information
- ความถูกต้อง
- ตรงต่อความต้องการ.
- ทันเวลา
- สมบูรณ์
- กระทัดรัดได้ใจความ
- มีคุณค่า /ประโยชน์
ร้านขายของสะดวกซื้อ
ฮาร์ดแวร์ (hardware) หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกัน ดังนี้ 1. หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) หน่วยประมวลผลกลาง ( CPU : Central Processing Unit ) หรือมักจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไมโครโปรเซสเซอร์ มีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูล ในลักษณะของการคำนวณและเปรียบเทียบ โดยจะทำงานตามจังหวะเวลาที่แน่นอน เรียกว่าสัญญาณ Clock เมื่อมีการเคาะจังหวะหนึ่งครั้ง ก็จะเกิดกิจกรรม 1 ครั้ง เราเรียกหน่วย ที่ใช้ในการวัดความเร็วของซีพียูว่า “เฮิร์ท”(Herzt) หมายถึงการทำงานได้กี่ครั้งในจำนวน 1 วินาที เช่น ซีพียู Pentium4 มีความเร็ว 2.5 GHz หมายถึงทำงานเร็ว 2,500 ล้านครั้ง ในหนึ่งวินาที กรณีที่สัญญาณ Clock เร็วก็จะทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้น มีความเร็วสูงตามไปด้วย ซีพียูที่ทำงานเร็วมาก ราคาก็จะแพงขึ้นมากตามไปด้วย การเลือกซื้อจะต้องเลือกซื้อให้เหมาะสมกับงานที่ต้องการนำไปใช้ เช่นต้องการนำไปใช้งานกราฟิกส์ ที่มีการประมวลผลมาก จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องที่มีการประมวลผลได้เร็ว ส่วนการพิมพ์รายงานทั่วไปใช้เครื่องที่ความเร็ว 100 MHz ก็เพียงพอแล้ว ที่มา : http://hardware.arip.co.th/feature/cpu_for_use/basic_pc.jpg 2. หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยป้อนข้อมูล (Input Unit) ทำหน้าที่ในการป้อนข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการป้อนข้อมูล เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้แก่ แป้นพิมพ์ สำหรับพิมพ์ตัวอักษรและอักขระต่าง ๆ เมาส์สำหรับคลิกสั่งงานโปรแกรม สแกนเนอร์สำหรับสแกนรูปภาพ จอยสติ๊ก สำหรับเล่นเกมส์ ไมโครโฟนสำหรับพูดอัดเสียง และกล้องดิจิตอลสำหรับถ่ายภาพ และนำเข้าไปเก็บไว้ ในดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อนำไปใช้งานต่อไป
3. หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยแสดงผล (Output Unit) มีหน้าที่ในการแสดงผลข้อมูล ที่ผ่านการประมวลผลในรูปของ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวหรือ เสียง เป็นต้น อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแสดงผลได้แก่ จอภาพ (Monitor) สำหรับแสดงตัวอักษรและรูปภาพ เครื่องพิมพ์ (Printer) สำหรับพิมพ์ข้อมูลที่อยู่ในเครื่อง ออกทางกระดาษพิมพ์ ลำโพง (Speaker) แสดงเสียงเพลงและคำพูด เป็นต้น
4. หน่วยความจำ (Memory Unit) หน่วยความจำ (Memory Unit) มีหน้าที่ในการจำข้อมูล ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ มีอยู่ 2 ชนิดคือ หน่วยความถาวร (ROM : Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำที่สามารถจำข้อมูลได้ตลอดเวลา ส่วนหน่วยความจำอีกประเภทหนึ่งคือ หน่วยความจำชั่วคราว (RAM : Random Access Memory) หน่วยความจำประเภทนี้ จะจำข้อมูลได้เฉพาะช่วงที่มี การเปิดไฟเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น หน่วยความจำชั่วคราว ถือว่าเป็นหน่วยความจำหลักภายในเครื่อง สามารถซื้อมาติดตั้งเพิ่มเติมได้ เรียกกันทั่วไปคือหน่วยความจำแรม ที่ใช้ในปัจจุบันคือ แรมแบบ SDRAM , RDRAM เป็นต้น
5. หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) หน่วยความจำสำรองคืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลไว้ใช้ในโอกาสต่อไป เนื่องจากหน่วยความจำแรม จำข้อมูลได้เฉพาะช่วงที่มีการเปิดไฟ เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น ถ้าต้องการเก็บข้อมูลไว้ใช้ในโอกาสต่อไป จะต้องบันทึกข้อมูลลงในหน่วยความจำสำรอง ซึ่งหน่วยความจำสำรองมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่มีนิยมใช้กันทั่วไปคือ ฮาร์ดดิสก์ ดิสก์ไดร์ฟ ซีดีรอม ดีวีดีรอม ทัมท์ไดร์ฟ เป็นต้น | ||||||||||
|
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อโปรแกรมบัญชี 9 ประการ
1. โปรแกรมบัญชี ถูกพัฒนาด้วยเครื่องมือใด ?
การเลือกใช้เครื่องมือในการพัฒนาโปรแกรมมีผมต่อการเลือกซื้อ กล่าวคือ ถ้าโปรแกรมเมอร์เลือกใช้เครื่องมือในการพัฒนาที่ดี โปรแกรมก็สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข feature ต่างๆ ในอนาคต ซึ่งก็จะสามารถนำเทคโนโลยี่ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับองค์กรณ์มาพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมและประสิทธิผลขององค์กรณ์ได้มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของการดูแลหลังการขายมากนัก เพราะเมื่อเลือกใช้เครื่องมือที่ดีในการพัฒนา ก็จะพบปัญหาของการใช้งานน้อยเช่นกัน
การเลือกใช้เครื่องมือในการพัฒนาโปรแกรมมีผมต่อการเลือกซื้อ กล่าวคือ ถ้าโปรแกรมเมอร์เลือกใช้เครื่องมือในการพัฒนาที่ดี โปรแกรมก็สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข feature ต่างๆ ในอนาคต ซึ่งก็จะสามารถนำเทคโนโลยี่ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับองค์กรณ์มาพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมและประสิทธิผลขององค์กรณ์ได้มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของการดูแลหลังการขายมากนัก เพราะเมื่อเลือกใช้เครื่องมือที่ดีในการพัฒนา ก็จะพบปัญหาของการใช้งานน้อยเช่นกัน
2. โปรแกรมบัญชี มีศักยภาพในการเข้าถึงข้อมูลหรือการแสดงผลเป็นอย่างไร ? พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ความเร็วในการใช้งานของโปรแกรม ข้อนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้จากข้อมูลที่ผู้ขายกล่าวอ้าง แต่จะตรวจสอบได้จากการใช้งานจริงเท่านั้น โดยการจำลองสถาณการณ์ในการทำงานจริงขึ้นมา และที่สำคัญคือต้องมีข้อมูลในการทดสอบที่มีปริมาณมากพอเพื่อดูความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล
ว่ารวดเร็วเพียงใด user รับได้หรือไม่
ว่ารวดเร็วเพียงใด user รับได้หรือไม่
3. โปรแกรมบัญชี มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างไร ? ต้องดูว่าลักษณะการจัดเก็บข้อมูลของโปรแกรมจัดเก็บในลักษณะใด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น file base กับ data base ซึ่งการเก็บข้อมูลที่ดีควรเก็บใน database จะทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยต่อความเสียหายมากกว่า
4. โปรแกรมบัญชี มีความเป็น User Friendly เพียงใด ? คือ user สามารถใช้งานโปรแกรมได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่รู้สึกอึดอัดหรือติดขัดใดๆ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีน้ำหนักในการตัดสินใจซื้อโปรแกรมนั้นๆ เพราะว่า user คือผู้ที่อยู่กับโปรแกรมตลอดเวลาในการทำงาน หากโปรแกรมใช้งานง่าย user เองก็จะมีความสุขในการทำงานด้วย
5. โปรแกรมบัญชี มีความความถูกต้องของข้อมูลมากน้อยแค่ไหน ? เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องตรวจสอบ เพราะถ้าตัวเลขในรายงานไม่ถูกต้องการใช้โปรแกรมก็จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ และควรได้รับการตรวจสอบจากการทดลองใช้งานจริงเท่านั้น
6. โปรแกรมบัญชี ที่ท่านเลือกมีการบริการหลังการขายเป็นอย่างไร ? เมื่อการ Implement สิ้นสุดลงการบริการหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้การใช้งานในระหว่าง implement ไม่ได้เกิดปัญหาใดๆก็ตาม เพราะปัญหาของการใช้งานสามารถเกิดได้จากหลายๆ ส่วน ผู้เลือกซื้อโปรแกรมควรแน่ใจว่าบริษัทผู้ขายมีทีม support ที่มีประสบการณ์ และมีมากพอที่จะดูแลและแก้ไขปัญหาได้ในทันทีที่เกิดปัญหา
7. โปรแกรมบัญชี รองรับการเชื่อมต่อและขยายกิจการหรือไม่ ? ในอนาคตบริษัทของเราอาจมีการขยายสาขาหรือมีปริมาณข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น ก็ต้องดูด้วยว่าโปรแกรมที่จะซื้อสามารถรองรับการขยายได้มากน้อยแค่ไหน และถ้าได้ การเชื่อมต่อในระยะทางไกลๆมีปัญหาในการใช้งานหรือไม่ และเพื่อความมั่นใจ อาจต้องขอให้ผู้ขายทดลองการใช้งานในลักษณะดังกล่าวให้ดูเพื่อความแน่ใจว่าทำได้จริง
8. บริษัทผู้พัฒนาโปรแกรมบัญชี มีความมั่นคงและมีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด ? ตรวจสอบดูว่าผู้จำหน่ายมีประสบการณ์มามากน้อยแค่ไหน มีความมั่นคงและชื่อเสียงของผู้จำหน่ายมีมากน้อยเพียงใด เป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้เราสามารถตัดสินใจเลือกซื้อโปรแกรมได้ง่ายขึ้น เพาะอย่างน้อยก็ต้องมี reference site ที่สามารถอ้างอิงและสามารถโทรไปสอบถามถึงการใช้งานของบริษัทเหล่านั้นได้ เราก็จะได้ข้อมูลจริงจากผู้ใช้งานจริง
9. โปรแกรมบัญชี ที่ใช้ run บน application อะไร ? มีให้เลือก 2 อย่าง คือ Dos หรือ Windows โปรแกรมที่ดีควร run บน Windows เพราะเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไปและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วน Dos นั้นได้หยุดการพัฒนาไปแล้วจึงไม่เหมาะสมที่จะเลือกใช้
พีเพิลแวร์ คือ ผู้ปฏิบัติงานตามกระบวนวิธีการในกิจกรรมต่างๆ อันได้แก่ การสร้างหรือเก็บรวบรวมข้อมูล บางกลุ่มอาจทำหน้าที่ในการพัฒนาซอฟท์แวร์ขึ้นมาใหม่ๆ ตามความต้องการและในการประมาลผล และอาจเปลี่ยนแปลงโปรแกรมที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงในโอกาสต่างๆ จะเห็นว่าบุคลากรทางคอมพิวเตอร์บางกลุ่มทำหน้าที่สร้างกระบวนการวิธีการให้แก่บุคลากรทางคอมพิวเตอร์กลุ่มอื่นๆ ได้เพื่อให้การทำงานหรือใช้งานด้วยคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีหน้าที่และความรับผิดชอบแตกต่างกันไปดังนี้
ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ (User) หมายถึงผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป สามารถทำงานตามหน้าที่ในหน่วยงานนั้นๆ เช่น การพิมพ์งาน การป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น